Monday, February 17, 2025

สานพลังเครือข่ายวิจัย ในมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ครั้งที่ 13 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ Regional Research Expo 2025

  


กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) 

ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และเครือข่ายวิจัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2568 (Regional Research Expo 2025) เป็นการในส่วนภูมิภาคในครั้งที่ 13 ภายใต้แนวคิด

 "สานพลังเครือข่าย พลังภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและสิ่งแวดล้อม ด้วยงานวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยี สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง อว. แพทย์หญิง เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. รองศาสตราจารย์ มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ รองศาสตราจารย์ ดร.คมเพชร ฉัตรศุภกุล นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เข้าร่วมงาน และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงาน ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. กล่าวว่า มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาคครั้งนี้ จัดขึ้นโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมแก่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรภาคประชาสังคมกว่า 40 หน่วยงาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี และคาดหวังว่างานนี้จะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งเพื่อประโยชน์ต่องานวิจัยและนวัตกรรมที่จะต่อยอดนำไปพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึงจุดประสงค์ของการจัดงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาคครั้งนี้ว่าเพื่อเป็นการขยายการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในภูมิภาค ซึ่ง วช. ได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2556 และได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน เพื่อเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนางานวิจัย โดยในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และหน่วยงานเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้แนวคิด "สานพลังเครือข่าย พลังภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและสิ่งแวดล้อม ด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ซึ่งมุ่งเน้นการแสดงศักยภาพการวิจัยในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์ในระดับภูมิภาค

รองศาสตราจารย์มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กล่าวว่า งานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาคครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงงานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติ โดยมหาวิทยาลัยได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ และมีความพร้อมทั้งด้านสถานที่ บุคลากร และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มหาวิทยาลัยยังมุ่งหวังว่า งานในครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมอย่างยั่งยืนเพื่อสังคมและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต

โดยกิจกรรมภายในงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค 2568 มีดังนี้

1. นิทรรศการผลงานวิจัย ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวฯ (ร.10) นิทรรศการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และนิทรรศการผลงานวิจัย 6 กลุ่มประเด็น ได้แก่ การยกระดับและพัฒนาการศึกษา การจัดการและพัฒนาสิ่งแวดล้อม การยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม 

การยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และภูมิปัญญาวัฒนธรรมสร้างสรรค์สู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม

2. กิจกรรมภาคการประชุมวิชาการในประเด็นสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10 ประเด็น อาทิ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมสู่การแก้ไขความยากจน, การประยุกต์ใช้ระบบ SMART CITY กับพื้นที่เมืองและชุมชน, การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม, ภูมิปัญญาการละเล่นและประเพณีท้องถิ่นสู่การสร้าง Soft Power 

3. การจัดแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนกว่า 40 แห่งจาก 23 อำเภอ ของจังหวัดบุรีรัมย์ อาทิ 

ผักปลอดภัย ผลไม้ ข้าวอินทรีย์ ของกิน ของใช้ เสื้อผ้ากระเป๋า 

4. กิจกรรม Highlight Stage  

- การบรรยายพิเศษ เรื่อง "แบบอย่างการพัฒนาเมืองหรือพื้นที่ นวัตกรรมทางการศึกษาควรเป็นอย่างไร" โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชรินทร์ มั่งคั่ง ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุบลวรรณ หงส์วิทยากร

- การบรรยายพิเศษ เรื่อง "อนาคตพื้นที่อีสานสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน" โดย รองศาสตราจารย์ 

ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI.) 

5. กิจกรรมประกวดผลงานวิจัยและนวัตกรรมดีเด่น 5 รางวัล 

มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาคเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเครือข่ายในระดับภูมิภาค โดยประสานความร่วมมือกับทั้ง 4 ฝ่าย คือ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานวิจัยและนักวิจัย ภาคเอกชน และภาควิสาหกิจและชุมชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการขยายผลงานวิจัยและนวัตกรรม สู่การใช้ประโยชน์ในภูมิภาคให้ครอบคลุม ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2568 ณ บริเวณหอประชุมวิชชาอัตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สามารถเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2568

Monday, December 16, 2024

ปปท.พร้อมเร่งตรวจสอบ หลัง นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ อดีตโปรโมเตอร์มวยโลก เข้าร้องเรียน ขสมก. จับมือ บ.โฆษณายักษ์ "พ" โกง

 


   ก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ อดีตโปรโมเตอร์มวยโลกและผู้ก่อตั้ง บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด ยกระดับเปิดโปงองค์กรภาครัฐร่วม"ทุจริต" บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อักษรย่อ"พ" ด้วยการเข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชน

     วันนี้ ( 16 ธ.ค 67 ) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ( ป.ป.ท.) ถนนแจ้งวัฒนะ  "เสี่ยโก้" ก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ อดีตโปรโมเตอร์มวยโลก และเจ้าของผู้ก่อตั้ง บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด ที่กำลังเป็นที่รู้จักแพร่หลายของโลกข้อมูลข่าวสารจากการเดินสายเรียกร้องหาความเป็นธรรมไปยื่นหนังสือต่อหลายองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น

 จากกรณีที่ บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานบนรถ ขสมก.แต่กลับพบการร่วมทุจริตระหว่างหน่วยงานภาครัฐและสื่อโฆษณายักษ์ใหญ่อักษรย่อ"พ" ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสำคัญ เพื่อเปลี่ยนแปลงสัมปทานโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายก่อให้เกิดความเสียหายต่อ บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด กว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งใจความสำคัญในการปลอมแปลงเอกสารสำคัญยังซ้ำเติมผู้เสียหาย ( บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด ) ด้วยการให้เป็นผู้รับผิดชอบกรณีการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีก 10 ปี 

     ในวันนี้นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ อดีตโปรโมเตอร์มวยโลกผู้ก่อตั้ง บริษัท ก่อเกียรติ กรุ๊ป จำกัด ตัดสินใจยกระดับการเรียกร้องกรณีหน่วยงานภาครัฐร่วม "ทุจริต"กับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อักษรย่อ"พ" ด้วยการเดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. เพื่อยื่นหนังสือต่อนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการฯคณะกรรมการ ป.ป.ท. ที่เห็นความสำคัญของกรณีทุจริตดังกล่าว และลงมารับหนังสือจากมือนายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ ด้วยตนเอง โดยนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการฯคณะกรรมการ ป.ป.ท.กล่าวหลังได้ข้อมูลจาก นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ ว่าทางคณะกรรมการ ป.ป.ท.พร้อมเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานให้เสร็จก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไปหากตรวจสอบพบการกระทำผิดจริง

     นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ กล่าวหลังการยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.ว่า "ตนยังคงเชื่อมั่นในการทำงานภาคการตรวจสอบขององค์กรอิสระต่างๆที่ทำหน้าที่เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชั่น

 ที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมไม่ใช่แค่กรณีของตนเอง แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทุจริตในภาครัฐอีกหลายกรณี ซึ่งตนเองยังมีข้อมูลเด็ดที่จะทยอยเปิดเผยให้พี่น้องสื่อมวลชนที่สนใจให้รับทราบเพิ่มเติมในช่วงสุดสัปดาห์นี้อีกครั้ง

Wednesday, December 11, 2024

กระทรวงอุตฯ ชู 41 องค์กรต้นแบบ เตรียมรับรางวัลจากนายกรัฐมนตรี ในงานมอบ "รางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2567"

 


กรุงเทพฯ 11 ธันวาคม 2567 – นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงข่าวการเตรียมจัดงานพิธีมอบ "รางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2567" ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัลฯ เพื่อเชิดชูศักยภาพองค์กรต้นแบบ 41 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้ขับเคลื่อนตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” ผนวกกับแนวคิด MIND “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ” ที่ “เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” ใน 4 มิติ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ความเข้มแข็ง

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมจัดงานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2567 (The Prime Minister’s Industry Award 2024) ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยได้รับเกียรติจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลให้แก่สถานประกอบการที่มีความเป็นเลิศ ทั้งในด้านการเพิ่มผลผลิต คุณภาพ ความปลอดภัย การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ความรับผิดชอบต่อสังคม เศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการเชิดชูเกียรติ และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรวมของประเทศ 

การพิจารณารางวัลอุตสาหกรรมประจำปี พ.ศ. 2567 จะมุ่งเน้นให้รางวัลกับสถานประกอบการที่มุ่งสู่การพัฒนาและปรับเปลี่ยนการประกอบการภาคอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ” ที่ “เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” โดยเน้นมาตรการและกลไกมุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ มิติที่ 2 ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวมส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ ชุมชน และสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร มิติที่ 3 ความลงตัวกับกติกาสากล ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อโอกาสทางธุรกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก และมิติที่ 4 การกระจายรายได้สู่ชุมชนที่ตั้ง (กระจายรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน)

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2567 (The Prime Minister’s Industry Award 2023) มีจำนวน 14 ประเภทรางวัล มีผู้ได้รับรางวัลจำนวน ทั้งสิ้น 41 รางวัล และสถานประกอบการที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ได้แก่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (โรงงานเกตเวย์) จังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถดูรายชื่อผู้ได้รับรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2567 ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงอุตสาหกรรม โดยแบ่งประเภทรางวัล ดังนี้

1. รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม (The Prime Minister’s Best Industry Award) จำนวน 1 รางวัล ซึ่งคัดเลือกจากสถานประกอบการที่เคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ประเภท และเป็นสถานประกอบการที่มีการพัฒนาศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล 

2. รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น (The Prime Minister’s Industry Award) จำนวน 23 รางวัล แบ่งเป็น 9 ประเภท ประกอบด้วย 1) ประเภทการเพิ่มผลผลิต จำนวน 7 รางวัล 2) ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน 1 รางวัล 3) ประเภทการบริหารความปลอดภัย จำนวน 1 รางวัล 4) ประเภทการบริหารงานคุณภาพ จำนวน 2 รางวัล 5) ประเภทการจัดการพลังงาน จำนวน 2 รางวัล 6) ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จำนวน 1 รางวัล 7) ประเภทอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต จำนวน 6 รางวัล 8) ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม จำนวน 1 รางวัล และ 9) ประเภทเศรษฐกิจหมุนเวียน จำนวน 2 รางวัล

3. รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น (The Prime Minister’s Small and Medium Industry Award) จำนวน 17 รางวัล แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทการบริหารจัดการที่ดี จำนวน 3 รางวัล 2) ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ จำนวน 7 รางวัล 3) ประเภทการจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม จำนวน 5 รางวัล และ 4) ประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล จำนวน 2 รางวัล  

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2567 

โดยมีสถานประกอบการให้ความสนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือก จำนวนทั้งสิ้น 162 ราย แบ่งเป็นรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 4 ราย รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น และรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้ง 13 ประเภท รวม 158 ราย ซึ่งในปีผู้ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยมยังได้รับรางวัลพิเศษ ทูตอุตสาหกรรมภาคเอกชน หรือ MIND Ambassador ซึ่งรางวัลนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของกระทรวงอุตสาหกรรมจากภาคเอกชนที่จะเป็นต้นแบบการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่ดีและอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นหน่วยงานกลาง ในการประสานความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีผ่านการดำเนินโครงการ/กิจกรรม ตลอดจนช่วยประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร และบริการของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมอีกด้วย

ทั้งนี้ การปฏิรูปอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่นั้นส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องพัฒนายกระดับศักยภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยกิจกรรมหนึ่งที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง คือ การจัดงานมอบรางวัลอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาสถานประกอบการอย่างมีศักยภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งจะทำให้ “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ” ที่ “เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” ต่อไป 

นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (กลุ่มงานการผลิต) บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า โตโยต้ามีแนวทางการดำเนินบทบาทในฐานะทูตอุตสาหกรรมภาคเอกชน หรือ MIND Ambassador โดยนอกเหนือจากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ดีแล้ว โตโยต้ายังมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างหนทางสู่การเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อนในอนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งแนวคิดขององค์กรแห่งการขับเคลื่อนนี้ จะต้องเป็นไปอย่างสมดุล ระหว่างการเจริญเติบโตทางธุรกิจกับการพัฒนาที่ยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และสังคม หมุดหมายปลายทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ตั้งเป้าไว้คือการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนด้านสังคม โตโยต้ายังคงมุ่งมั่นที่จะมอบความสุขและรอยยิ้มกับคนไทยทุกคน  


Saturday, December 7, 2024

เชิดชูเกียรติ ทหารผ่านศึกเกาหลี และทายาท

 

บาทหลวง ปาร์ค ยอง ซาง  ประธานมูลนิธิร่มพระพรเพื่อเด็กและเยาวชน  ตั้งอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ  

ร่วมกับ ประธานหมู่บ้านสันติภาพสหประชาชาติ จากสาธารณรัฐเกาหลี  จัดทำเหรียญเชิดชูเกียรติ เพื่อนำมามอบให้แก่  ทหารผ่านศึกเกาหลี และทายาทที่มารับแทน  จำนวน 35 คน เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณทหารไทย ในอดีต

ที่ไปช่วยเกาหลีใต้ ทำสงครามในนาม สหประชาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 ไปจำนวน 23 รุ่น  


และทหารไทย มีความเก่งกาจ อดทน จนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ 





 จนได้รับฉายาว่าเป็น  กองพันพยัคฆ์น้อย (Little Tiger) ความช่วยเหลือของชาวเกาหลี มีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปรียบเสมือน  "ไทย-เกาหลี  เป็นพี่น้อง ที่ไม่ทอดทิ้งกัน ชั่วนิรันดร์"



#สโมสรนายทหารสัญญาบัตร กองทัพอากาศ ดอนเมือง

Tuesday, October 8, 2024

ชวนบริจาคโลหิต 10 ล้านซีซี ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

  



ความเป็นมาของการบริจาคโลหิตในไทย เกิดขึ้นในปี 2495 สภากาชาดไทยได้ดำเนินการจัดตั้ง ‘แผนกบริการโลหิต’ ขึ้นในกองวิทยาศาสตร์ และเริ่มมีการผลิตน้ำยา ACD บรรจุในขวดแก้ว โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต เป็นผู้บริจาคโลหิตหมายเลข 1 ของไทย

.


ในปัจจุบันแม้มีประชาชนบริจาคโลหิตไม่น้อย แต่ปริมาณเลือดในคลังเลือดยังมีความต้องการอยู่ จึงก่อให้เกิด ‘โครงการรวมน้ำใจ บริจาคโลหิต 10,000,000 ซีซี ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ และเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตได้ที่สภากาชาดไทย

.


การบริจาคโลหิตในแต่ละครั้ง สามารถบริจาคได้ครั้งละ 350-450 ซีซี หรือคิดเป็นร้อยละ 10-12 ของปริมาณโลหิตทั้งหมดในร่างกาย ทั้งนี้ประโยชน์ของการบริจาคโลหิตคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ทราบหมู่โลหิตของตนเองในระบบ A B O และ Rh ช่วยให้มีระบบไหลเวียนโลหิตที่ดี และได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทำให้ผู้บริจาคมีความสุขในการเป็นผู้ให้

.


เลือด 1 ยูนิตจะเข้าสู่กระบวนการปั่นแยก เม็ดเลือดแดงจะอยู่ก้นถุง เกล็ดเลือดอยู่กลางถุง และพลาสมาอยู่ชั้นบนสุดของถุง ซึ่งจะถูกเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างกันไป โดยเลือดที่เราบริจาค 1 ครั้ง สามารถช่วยได้ถึง 3 ชีวิต


แต่การบริจาคโลหิตในแต่ละครั้งต้องมีการคัดกรอง โดยผู้บริจาคต้องไม่เข้าข่ายดังต่อไปนี้

- หากถูกเข็มเปื้อนเลือดตำให้เว้นบริจาคเลือด 1 ปี

- หากมีคนในครอบครัวเป็นตับอักเสบให้เว้น 1 ปี

- หากถูกควบคุมตัวหรือจองจำในเรือนจำมากกว่า 72 ชั่วโมง ให้เว้น 1 ปี 

- ผู้ที่เข้าไปในพื้นที่มาลาเรียชุกชุมให้เว้น 1 ปี หากเป็นโรคมาลาเรียให้เว้น 3 ปี

- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา ให้งดบริจาคจนกว่าจะทราบสาเหตุ 

- ผู้ที่เคยพำนักอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และไอร์แลนด์ สามารถบริจาคโลหิตชนิด Whole Blood โดยโลหิตบริจาคที่ได้ต้องถูกนำไปผลิตส่วนประกอบโลหิตชนิดลดเม็ดเลือดขาวเท่านั้น (leukocyte-depleted) โดยที่

ผลิตภัณฑ์เม็ดเลือดแดง (LDPRC) สามารถนำไปให้ผู้ป่วยได้ แต่หากเคยป่วยหรือมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรค CJD(โรควัวบ้า) ให้งดบริจาคถาวร 

.


ทั้งนี้หากเป็นผู้บริจาคโลหิต นอกจากจะได้เป็นผู้ให้แล้ว เรายังได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ดังต่อไปนี้

- ผู้บริจาคโลหิต 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องพิเศษ และค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50 

- ผู้บริจาคโลหิต 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล 100% ค่าห้องพิเศษและค่าอาหารได้ร้อยละ 50 

- ผู้บริจาคโลหิต 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ ‘ขอพระราชทานเพลิงศพ’ ได้เป็นกรณีพิเศษ 

- ผู้ที่มาบริจาคโลหิตจะได้รับเข็มกลัดที่ระลึก สำหรับคนที่มาบริจาคโลหิตครบ 50 ครั้ง จะได้รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณชั้น 3 พร้อมใบประกาศกำกับเหรียญกาชาดสมนาคุณ 

- หากบริจาคเลือดครบ 75 ครั้ง ก็จะได้รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณชั้น 2 พร้อมใบประกาศกำกับเหรียญกาชาดสมนาคุณ 

- หากบริจาคโลหิตครบ 100 ครั้ง จะได้รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณชั้น 1 พร้อมใบประกาศกำกับเหรียญกาชาดสมนาคุณ

.

ผู้ต้องการบริจาคโลหิตควรศึกษาข้อมูล ดูแลร่างกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

.

Thursday, October 3, 2024

ดีป้า ลุยต่อกิจกรรม Coding Inspire กระตุ้นเยาวชนเข้าถึงโค้ดดิ้งเท่าเทียมและทั่วถึง ภายใต้ โครงการ Coding for Better Life ‘สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย’

 


1 ตุลาคม 2567, กรุงเทพมหานคร – ดีป้า สานต่อจัดกิจกรรม Coding Inspire ภายใต้ โครงการ Coding for Better Life ‘สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย’ - จำลองห้องเรียนโค้ดดิ้ง สู่ Coding Classroom Showcase และ Workshop เข้มข้น เติมทักษะ Coding เสริมแรงบันดาลใจในการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งคนทุกวัย ใน 4 จังหวัด นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ต่อด้วย กรุงเทพมหานคร และ เชียงใหม่

นายจักกนิตต์ คณานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เป็นประธานเปิดกิจกรรม Coding Inspire กรุงเทพมหานคร กิจกรรมภายใต้โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารสถานศึกษา ครู และ นักเรียน เข้าร่วมกิจกรรม ณ ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์


นายจักกนิตต์ กล่าวว่า ดีป้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งแก่เยาวชนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อวางรากฐานทักษะดิจิทัลแห่งอนาคตให้แก่เยาวชน ตลอดจนบรรเทาปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัล


ของประเทศในระยะยาว สำหรับโครงการ Coding for Better Life ‘สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย’ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 มีโรงเรียนผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจากทั่วประเทศทั้งสิ้น 1,500 แห่ง ซึ่งโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการนั้น ดีป้า ได้ร่วมยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง สนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน ควบคู่กับการยกระดับทักษะการสอนโค้ดดิ้งคุณครู และได้เข้าร่วมกิจกรรม Coding Bootcamp ที่ให้ครูและนักเรียนได้เติมเต็มศักยภาพ สร้างสรรค์ผลงานโค้ดดิ้ง และได้ประลองฝีมือเพื่อชิงความเป็นที่หนึ่งของทีมโค้ดดิ้งประเทศไทยในการแข่งขัน Coding War ที่แข่งขันเสร็จสิ้นไปเมื่อ 15 กันยายน ที่ผ่านมา สำหรับกิจกรรม Coding Inspire นี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นการสร้างการตระหนักรู้สำหรับเยาวชน บุคลากรทางการศึกษา และ ประชาชนทั่วไปให้เห็นถึงความสำคัญของทักษะโค้ดดิ้งอย่างทั่วถึง

“กิจกรรม Coding Inspire ครั้งนี้ เป็นการจัดกิจกรรมรอบที่ 3 กรุงเทพมหานคร หลังจากได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากกิจกรรมในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคอีสาน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งกิจกรรม Coding Inspire  แบ่งรูปแบบงานออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย Coding Classroom Showcase นิทรรศการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นการจำลองห้องเรียนโค้ดดิ้งในโรงเรียนที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการฯ โดยมีบอร์ดความรู้โค้ดดิ้ง โชว์เคสเพื่อเปิดประสบการณ์ด้านดิจิทัล และ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ Introduction to Coding with Micro Bit, สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าแรงบันดาลใจสร้างคนดิจิทัล, Robotic Coding with Micro Bit, Natural Language Processing with Micro Bit และ IoT Coding with Micro Bit ณ โซน MUNx2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ สำหรับอีกส่วนเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ "Workshop Swift Coding Club” ณ โรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น” นายจักกนิตต์ กล่าว


สำหรับกิจกรรม Coding Inspire จะจัดขึ้นอีก 1 ครั้ง รอบจังหวัดเชียงใหม่ ณ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ลานกิจกรรม ชั้น G และ ห้องสุพรรณิการ์ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดตามรายละเอียดและข่าวสารต่าง ๆ ของโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ได้ทาง www.depa.or.th , codingforbetterlife.com และเฟซบุ๊กเพจ depa Thailand และ CodingThailand by depa

Tuesday, September 24, 2024

Schedule of The 20th International Congress on Luobing Theory Overseas Forum หรืองานสัมนาวิชาการเกี่ยวกับโรคจากเส้นลมปราณนานาชาติ ครั้งที่ 20

 

ซึ่งโดยโครงสร้างหลักจะเป็นการจัดให้มีการสัมมนาและจัดการประชุมในวาระโรคจากเส้นลมปราณหรือโรคลั่วระดับนานาชาติใน โดยงานนี้มีวัตถุประสงค์จัดขึ้น

: เพื่อส่งเสริม การควบคู่กับพัฒนาการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย

: เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ของโรคที่เกี่ยวกับเส้นลมปราณ หรือการรักษาโรคหรือการบรรเทาการโรคที่เกี่ยวกับเส้นลมปราณ ซึ่งมีขั้นตอนการรักษาหรือบรรเทาอาการเป็นหลักสูตรที่ชัดเจน

 


ทั้งนี้ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลก นอกเหนือจากจีนที่ออกกฎหมายการแพทย์แผนจีน ซึ่งถือการแพทย์แผนจีนได้รับความนิยมอย่างในประเทศไทย



โดยผู้ที่เข้าร่วมงานสัมมนาในวาระนี้ได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในวงการแพทย์ของไทยและระดับนานาชาติรวม กว่า 13 ชาติ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ 

รวมไปถึงอาจารย์และนักวิชาการด้านการแพทย์แผนจีนจากประเทศจีนและไทย เภสัชกร ร่วมด้วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมและคณะ เข้าร่วมการประชุมในวาระนี้ด้วย

คุณธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ 

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข

และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ได้รับความสนใจภายในงานนี้คือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพ “ริมลอค”  นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมการดูแลทั้งระบบเลือด หัวใจ รวมไปผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ซึ่งส่งผลให้เกิดหลายอาการที่พบว่าเป็นปัญหาได้บ่อยกับคนในหลายกลุ่มวัยในปัจจุบัน อาทิ อาการนอนไม่หลับ ใจสั่น หายใจลำบาก อ่อนแรง เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย เหงื่อออกตอนกลางคืน เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะเป็นอีกทางเลือกให้กับประชาชน

นอกจากนี้ภายในงานยังมีให้จัดแสดงข้อมูลด้านนวัตกรรมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรจีนประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านงานวิจัยในสาขาต่างๆที่มีความเกี่ยวข้อกับการดูแลสุขมากมาย และหนึ่งในนั้นคือการรับรองจากวารสารชั้นนำด้านสุขภาพอย่างวารสารจามา (JAMA) ซึ่งเป็นวารสารของทางสมาคมการแพทย์อเมริกัน

และนี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานสัมมนาทางด้านการแพทย์ระดับนานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นโอกาสที่ดีของประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวนานาชาติได้เข้าถึงอีกหนึ่งศาสตร์วิชาแพทย์ทางเลือกด้านโรคเกี่ยวกับเส้นลมปราณ และผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรจีนที่กำลังเป็นที่นิยมในระดับสากล

ผู้ร่วมสัมมนา

 เจี่ย เจินหวาน (JIA Zhenhua) 

นายกสมาคมการแพทย์แผนจีนแห่งประเทศไทย สาขาโรคจากเส้นลมปราณ 

นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข

รองศาสตราจารย์ ดร.สุมาลี ไชยศุภรากุล

อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

อาจารย์ภัทระ แจ้งศิริเจริญ

ที่ปรึกษากฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และผู้ส่งคุณวุฒิในคณะกรรมการวิชาชีพ เข้าร่วมสัมนา ณ โรงแรมเดอะ เวสทิน แกรนด์