Showing posts with label #อว#วช#อูบุนนาค. Show all posts
Showing posts with label #อว#วช#อูบุนนาค. Show all posts

Friday, April 21, 2023

อว.นำวิจัยประสานการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตร้า ณ แหล่งอารยธรรมทางประวัติศาสตร์ เมืองเหนือ “เสียงใหม่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง” ลำปาง

          เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรมการถ่ายทอดงานวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผ่านการบรรเลงดนตรีสากลเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด “เสียงใหม่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง” โดยได้รับเกียรติจาก 

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในการเปิดงานฯ พร้อมกันนี้  นายชัชวาลย์   ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัด ลำปาง 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะผู้บริหารของจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย นางสาวตวงรัตน์  โล่สุนทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง  นายกเทศมนตรีตำบลลำปาง หัวหน้าราชส่วนราชการจังหวัดลำปางและอำเภอเกาะคา ร่วมให้การต้อนรับ และได้รับเกียรติจากศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์ อ่าน บทกวีเกี่ยวกับวัดพระธาตุลำปางหลวง ก่อนการบรรเลงเพลง ณ ลานวัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวว่า วันนี้ดีใจในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงอว. ที่ให้ทุนวิจัยสนับสนุนท่านอาจาร์สุกรี เจริญสุข ทำดนตรีพื้นบ้าน ได้ประสานเป็นเพลงดุริยางค์สากล ดุริยางค์คลาสิก ซึ่งชาวตะวันตกก็ถือว่าเป็นดนตรีที่มีคุณค่ามาก และอีกฐานะเป็นคนลำปาง มาวัดพระธาตุลำปางหลวงตั้งแต่เด็กๆ เมื่อก่อนเป็นพื้นทึ่ต่างอำเภอ แต่ปัจจุบันพระธาตุลำปางหลวงก็เหมือนอยู่ติดเขตอำเภอ เพราะความเจริญต่อถึงกัน แล้วได้มาพบพี่น้องชาวลำปาง ซึ่งผมก็รู้จักตั้งแต่ในวัยเดียวกันหรือวัยที่สูงกว่า ผมก็ดีใจ การแสดงดนตรีก็มาจัดแสดงที่ จ.ลำปาง เป็นครั้งที่ 2
 ก็เลือกสถานที่เป็นสัญลักษณ์ลำปางทั้งสองพื้นที่ ครั้งที่แล้วที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคเหนือ ที่ชาวลำปางในอดีตภาคภูมิใจมาก ว่าลำปางเป็นศูนย์กลางการเจริญรุ่งเรืองในภาคเหนือตอนบน และในครั้งนี้มาเล่นที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งร่วมยุคร่วมสมัยกับวัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน อายุพันกว่าปี เป็นศูนย์กลางอารยธรรมที่สำคัญอีกส่วนนึ่งของล้านนา โดยงานแสดงดนตรีผลสำเร็จงานวิจัยครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สิบกว่าแล้ว นักดนตรีได้สะสมทักษะ ความสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ มาโดยตลอด ซึ่งการแสดงก็ดีขึ้นทุกครั้ง 

“ขอเชิญชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมฟังดนตรีในวันนี้ สำหรับคนที่โชคดีที่มารับฟังถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง ขอให้ได้รับบุญกุศล ความปรารถนาดีจากดนตรี จากนักร้อง จากกระทรวงอว. ได้ด้วย ถือว่าเป็นการส่งสิ่งที่ดีที่สุดของกระทรวง อว. สู่ท่านที่รับชม ท่านผู้ชมที่มาชมการแสดงสด สำหรับท่านส่วนใหญ่ที่เตรียมดูและรับชมผ่านสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ท่านก็สามารถรับชมรับฟังได้เช่นกัน ซึ่งดนตรีถือเป็นสมบัติที่มีค่า ที่บรรพชนได้มอบไว้ให้แก่เรา เป็นสมบัติของทุกคน ไม่ใช่แค่ของคนภาคเหนือเท่านั้น และจะกลายเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งผมเชื่อว่าจะทำให้ดนตรีไทยให้เป็นดนตรีโลกไม่ยาก เพราะเรามีของดี”  ดร.เอนก กล่าวทิ้งท้าย

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดที่เก่าแก่ของภาคเหนือและเป็นวัดสำคัญของจังหวัดลำปาง เป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่กว่า 1,300 ปี มีการวางรากฐานของบ้านเมือง คูเมือง กำแพงเมือง มีผู้คนและมีเจ้าเมือง มีวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นศูนย์กลางของเมืองลำปาง เป็นศูนย์บัญชาการการปกครองในอดีต เพราะวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นหัวใจของเมือง 

และเป็นวัดหลวงของเมืองลำปาง  เป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเพื่อค้นคว้าเรื่องของเสียงดนตรีที่ยังหลงเหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์ แล้วนำเสียงมาสร้างจินตนาการใหม่ การนำเสียงของวัฒนธรรมเมืองเหนือ เสียงซึง เสียงปี่จุม เสียงไม้ไผ่ และเสียงกลอง เป็นเสียงที่มีอยู่แล้วโดยการเลียนแบบจากเสียงธรรมชาติ  (Acoustic) มาใช้เป็นเสียงดนตรี ซึ่งเป็นบริบทที่สำคัญของชุมชน ที่จะมีการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานที่สามารถสื่อสารออกไปสู่สากลได้ นับเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและสร้างสรรค์ (Soft Power) ซึ่ง วช. ได้สนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ในงานศาสตร์และศิลป์ ด้วยการทำงานวิจัยที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จึงเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่อการใช้กลไกการแสดงดนตรีและการถ่ายทอดผ่านบทเพลง เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ความภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ พร้อมกับเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะเข้ามาร่วมชื่นชมอัตลักษณ์ของท้องถิ่น และเป็นSoft power อย่างยั่งยืน

     ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข หัวหน้าโครงการวิจัย มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข เปิดเผยว่า การแสดงดนตรีเสียงใหม่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ได้รับเกียรติจากอาจารย์เนาวรัตน์  พงศ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ร่วมอ่านบทกวี มีบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดลำปางขับร้องโดย กมลพร  หุ่นเจริญ พร้อมศิลปินพื้นบ้านลำปาง เป็นจำนวนมาก เลือกพื้นที่วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นสถานที่จัดงานเพื่อที่จะนำกลิ่น เสียง และวิญญาณของประวัติศาสตร์ที่ยังเหลือร่องรอยอยู่ในเพลงที่มีการปกของเชียงใหม่กระทั่งถึงสมัยเจ้าทิพย์ช้างสามารถขับไล่พม่าออกจากลำปางได้ และขึ้นครองลำปางเมื่อปี พ.ศ. 2279 ต่อมา พ.ศ. 2307 เจ้าแก้วฟ้าโอรสของเจ้าทิพย์ช้างได้ครองนครลำปางเป็นต้นตระกูลของคนในปัจจุบัน ตระกูล ณ ลำปาง ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน วิถีชีวิตผู้คนและดนตรีของชาวลำปางดั้งเดิมเหลืออยู่กับชาวบ้าน ชาวดอย และผู้เฒ่า จากการที่ลำปางดั้งเดิมมีเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายจึงทำให้ดนตรีพื้นบ้านน่าสนใจศึกษาโดยวัดพระธาตุลำปางเป็นวัดโบราณที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในชุมชนมาอย่างยาวนาน และเป็นคลังความรู้เป็นมรดกล้ำค่ามาก “เสียงใหม่โดยวงไทยซิมโฟนีออเครสตร้าเป็นการย้อนร่องรอยในอดีตมาประดับบริบทที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน เล่าวิถีชีวิตในอดีตด้วยเสียงดนตรี เพราะลำปางเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่” รศ.ดร.สุกรีฯ กล่าวย้ำ

ในโอกาสนี้การแสดงดนตรีเสียงใหม่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง โดย วงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Thai Symphony Orchestra) พร้อมด้วยนักดนตรีและนักดนตรีพื้นบ้านกว่า 100 คน ในการนำเสนอเพลงต้นฉบับที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมของเมืองเหนือผ่านการแสดงบทเพลง ลาวคลึง ลาวจ้อย ลาวดวงดอกไม้ ลาวเจริญศรี ลาวเสี่ยงเทียน ลาวครวญ ลาวเดินดง ลาวสวยรวย ลาวคำหอม ลาวกระทบไม้ แห่ดำหัวหรือแห่นำพล เก๊าห้า มอญลำปาง ลาวลำปาง-สร้อยลำปาง  แล้งในอกหรือลาวคลึง มอญเจี๊ยหอย ลาวจ้อยหรือสร้อยแสงแดง  ลาวเจริญศรี ลาวเสี่ยงเทียน ลาวเดินดง ลาวดวงดอกไม้ ลาวสวยรวย ลาวคำหอม ลาวกระทบไม้ ผีมดผีเม็ง ฤาษีหลงถ้ำ ล่องแม่ปิง ปราสาทไหว การแสดงวงปี่จุม สะล้อล้านนา เพลงปั่นฝ้าย กล่อมนางนอน แม่หม้ายเครือ ลาวเสด็จ พร้อมด้วยวงปล่อยแก่จังหวัดลำปางและจังหวัดเชียงใหม่ บรรเลงเพลงระบำ ร่ำเปิงลำปาง ล่องแม่ปิง หมู่เฮาจาวเหนือ  และเพลงปล่อยแก่ นับเป็นการแสดงบทเพลงที่เข้าถึงผู้ฟังและสร้างความประทับใจให้กับผู้รับฟัง ซึ่งโครงการวิจัยดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ดนตรีควบคู่กับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อ เป็นศิลปะในการสื่อสาร ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ไปสู่ผู้ฟัง ดนตรีเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ภาษาใด ก็สามารถรับรู้ และเข้าใจอรรถรสของดนตรีได้ผ่านด้วยเสียงเพลง

Friday, March 31, 2023

อว.จัดบรรเลงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้า ลือเลื่องแหล่งอารยธรรมมรดกโลก “เสียงใหม่ที่บ้านเชียง”อุดรธานี ศิลปินเพลงอีสานชื่อดังร่วมบรรเลงขับร้องสร้างเพลงให้มีชีวิตใหม่

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดเวทีบรรเลงเพลง “เสียงใหม่ที่บ้านเชียง”

 โดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงานฯ ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 

พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดย นายสมศักดิ์ แสนอินทร์ นายอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ
 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่ วช. ให้การสนับสนุนทุนวิจัย เรื่อง โครงการพื้นที่วัฒนธรรมดนตรีเพื่อพัฒนาสร้างสรรค์จินตนาการ เสียงใหม่ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข หัวหน้าโครงการวิจัย มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข 
ควบคุมการบรรเลงวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้า โดย พันเอก ดร. ประทีป สุพรรณโรจน์ และสร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมประกอบบทเพลง โดย ดร.สุชาติ วงษ์ทอง ซึ่งมี คณะผู้บริหาร อว. คณะผู้บริหารหน่วยงานจังหวัดอุดรธานี สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ให้เกียรติเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ณ ลานวัฒนธรรมชุมชนบ้านเชียงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า กล่าวว่า อว. ได้เริ่มศึกษาและดำเนินโครงการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน 

ซึ่ง โครงการวิจัยเรื่องวัฒนธรรมดนตรีเพื่อพัฒนาสร้างสรรค์จินตนาการเสียงใหม่การแสดงดนตรี ณ ลานวัฒนธรรมชุมชนบ้านเชียง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง นับเป็นการเปิดโลกวัฒนธรรมของท้องถิ่นเพื่อค้นหาร่องรอยในอดีต ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี วรรณคดี อันนำไปสู่การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่มาแสดงออกในรูปแบบของวงซิมโฟนีออร์เคสตร้า

 สร้างความสุข ความประทับใจให้แก่ผู้รับฟัง ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ฟัง ได้สัมผัสกับความเบิกบานใจในทุกพื้นที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่สังคมไทยและวงการศึกษาดนตรีของไทย เพราะเพลงคลาสสิกไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพลงของชาวตะวันตกอีกต่อไป ซึ่งอีกด้านหนึ่งเป็นการอนุรักษ์และต่อยอด รวมทั้งพัฒนาด้วยดนตรีพื้นบ้านอันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของคนไทย โดย “มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข” ดำเนินการ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข ในการวิจัยเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมการค้นหาเพลงเก่าของชุมชนในพื้นที่เพื่อนำมาเรียบเรียงใหม่ 

พร้อมเล่นผ่านวงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตร้า เพื่อรักษาเพลงเก่า นำมาเสนอในรูปแบบใหม่ เป็นการรังสรรค์ท่วงทำนองคีตศิลป์กระตุ้นให้เกิดสิ่งใหม่บนรากฐานสิ่งเก่า นำไปสู่การส่งเสริมการรังสรรค์คีตศิลป์ผ่านบทเพลงและท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์เป็นการสร้างผลงานศิลปะทางวัฒนธรรมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมการอนุรักษ์และต่อยอด รวมไปถึงการแสดงของวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา

ที่เป็นวงดนตรีคลาสสิกมีนักดนตรีชาวไทยที่มีฝีมือสูงผ่านการฝึกฝนจนมีความเชี่ยวชาญ ออกมาแสดงให้ผู้ชมในท้องถิ่นซึ่งเป็นชาวบ้านได้ชื่นชมบทเพลงของตัวเองที่สำคัญมาก ๆ คือผู้คนในท้องถิ่นได้ให้ความร่วมมือร่วมใจกันช่วยทำให้งานเกิดขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า อาจารย์สุกรี เจริญสุข และคณะจะเป็นตัวอย่างในการสร้างสรรค์ท่วงทำนองให้เป็นมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งการรักษาอดีตเพื่อไปต่อยอดในอนาคต การมองเห็นสมบัติของแผ่นดินเกิดการสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษของเราหลงเหลือไว้ เรามีศิลปะสุนทรียะที่ไม่สามารถลบล้างไปได้ง่ายอันทรงคุณค่าและควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ผลักดันการเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติให้ดังก้องโลก

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง เป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ การขุนค้นพบหม้อไหถ้วยชามที่เป็นภาชนะเครื่องปั้นดินเผา รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านชาวนาการค้นพบวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกันด้วยความสงบ การค้นพบโครงกระดูกที่มีส่วนประกอบสมบูรณ์ ซึ่งบอกให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่าผู้คนในชุมชนไม่ได้เสียชีวิตด้วยอาวุธหรือสงคราม

 เป็นชุมชนที่อยู่อย่างสงบร่มเย็นต่อเนื่องกันมาร่วม 600 ปี ชุมชนบ้านเชียงยังได้หักล้างทฤษฎีว่าคนไทยอพยพมาจากที่อื่น แต่เป็นคำตอบที่สำคัญโดยมีหลักฐานทางประวัติศตร์พื้นที่แห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มาก่อนอย่างน้อย 3,000 ปี หม้อไหถ้วยชามที่เป็นภาชนะเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียงเป็นคำตอบที่ต้องค้นหากันต่อไปอีก โดยเฉพาะวิถีชีวิตความเป็นอยู่รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นและมีอะไรที่ยังหลงเหลืออยู่ในสังคมปัจจุบันโครงการวิจัยเรื่องวัฒนธรรมดนตรีเพื่อพัฒนา

สร้างสรรค์จินตนาการเสียงใหม่ เป็นการศึกษาเพื่อค้นคว้าเรื่องของเสียงดนตรีที่ยังหลงเหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์ แล้วนำเสียงมาสร้างจินตนาการใหม่ เสียงของหม้อไหถ้วยชาม ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาแตก ประกอบเสียงพิณ เสียงแคน เสียงการเคาะไห ซึ่งเป็นเสียงที่มีอยู่ โดยการเลียนแบบจากเสียงธรรมชาติ (Acoustic) ซึ่งเป็นบริบทที่สำคัญของชุมชนการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานของสินค้าที่สามารถสื่อสารออกไปสู่สากลได้เป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและสร้างสรรค์ (Soft Power) ในนามของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้ทำหน้าที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยทั้งศาสตร์และศิลป์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เป็นพื้นประวัติศาสตร์ที่สำคัญหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแสดงดนตรีจากการถ่ายทอดผ่านบทเพลงจะก่อให้เกิดความรื่นรมย์แก่คนในพื้นที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเกิดความสุขใจจากการฟังดนตรีได้เป็นอย่างยิ่ง

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข หัวหน้าโครงการวิจัย มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข กล่าวว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง เป็นพื้นที่สำคัญในประวัติศาสตร์แหล่งโบราณคดีที่นี่เต็มไปด้วยร่องรอยของผู้คนเคยเป็นที่ตั้งชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในอุษาคเนย์ อายุประมาณ 3,500 ปี ทำให้เราย้อนนึกถึงรากเหง้าและความใกล้ชิดระหว่างคนและธรรมชาติ 

วัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความสวยงามผสมผสานกับดนตรีพื้นบ้านการนำวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้ามาแสดงที่จังหวัดอุดรธานีในครั้งนี้ สู่การนำเสนอต่อสังคมใหม่เป็นการเสนอรูปแบบเสียงใหม่โดยการนำเสียงอดีตมาเสนอเป็นต้นแบบ นวัตกรรมเสียงดนตรี เพื่อสร้างอนาคต โดยใช้ศักยภาพความเป็นเลิศทางดนตรีอย่างลงตัว ซึ่งอาศัยนักดนตรีที่มีฝีมือ
และฝีมือของวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตราโดยเอากลิ่นอายของเสียง สีเสียง จิตวิญญาณของเสียง เอาเลือดเนื้อเชื้อไขพันธุกรรมของเสียงเก่า ๆ นำเอาบรรยากาศของท้องถิ่น ซึ่งเป็นบริบทของเสียงดั้งเดิมมาปรุงแต่งให้เป็นเสียงใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ให้เป็นเพลงใหม่เป้าหมายของเสียงใหม่ที่เป็นรูปธรรม โดยการสร้างเสียงใหม่ของเสียงอีสานเพื่อใช้ในพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง ผ่านจิตวิญญาณ ศึกษาพันธุกรรมเพลง กลิ่นของบรรยากาศ อารมณ์ที่เป็นบริบทของชุมชนเครื่องดนตรีดั้งเดิม การผสมเสียงกับเครื่องดนตรีที่แตกต่าง รวมทั้งเสียงที่ออกมาเป็นวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตราต่อจากนั้นก็จะเริ่มคิดพลิกแพลงก่อกวนทางปัญญากระบวนการวิจัยเป็นการก่อกวนทางวิชาการชนิดหนึ่งการค้นหาคำตอบใหม่สร้างสรรค์จินตนาการเสียงใหม่มาต่อยอดและสืบทอดอายุเพลงให้มีชีวิตใหม่ เพื่อให้เป็นที่รู้จักในสังคมไทยและเป็นที่รู้จักของประชาคมนานาชาติ
ในโอกาสนี้การแสดงดนตรีเสียงใหม่ที่บ้านเชียงในครั้งนี้โดย วงไทยซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Thai Symphony Orchestra) พร้อมด้วยนักดนตรีและหมอลำอาชีพกว่า 100 คน ในการนำเสนอเพลงต้นฉบับที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมของอีสาน ผ่านการแสดงบทเพลง ลำล่อง ลำผู้ไทสามเผ่าลำตังหวาย ลำคอนสวรรค์ ลำเต้ย ลายศรีโคตรบูรณ์ ลำแมงตับเต่า ลายลำเพลินสังสินไซ ลำเพลินประยุกต์ ลายเซิ้งบั้งไฟ ลำเพลิน ลายใหญ่ ลายน้อย พิณพระอินทร์สายกลางนำทางสำเร็จ ต้อนวัวขึ้นภู ลมพัดพร้าว สุดสะแนน แมลงภู่ตอมดอกไม้วงปล่อยแก่ เพลงฮักอีสานบ้านเฮา เพลงแคนลำโขง และเพลงปล่อยแก่ นับเป็นการแสดงบทเพลงที่เข้าถึงผู้ฟังและสร้างความประทับใจให้กับผู้รับฟัง ซึ่งโครงการวิจัยดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ดนตรีควบคู่กับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อ เป็นศิลปะในการสื่อสาร ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ไปสู่ผู้ฟัง ดนตรีเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ภาษาใด ก็สามารถรับรู้ และเข้าใจอรรถรสของดนตรีได้ผ่านด้วยเสียงเพลง 

Friday, January 6, 2023

อว. รุก โชว์งานวิจัยใน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค 2566” ส่งเสริมภูมิปัญญาล้านนาและโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ที่จังหวัดลำปาง


วันที่ 6 มกราคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง (มทร.ล้านนา) จังหวัดลำปาง จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566 : Regional Research Expo 2023” ภายใต้แนวคิด “การพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม ภูมิปัญญาล้านนาและโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ระหว่างวันที่ 6 - 8 มกราคม 2566 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง ตำบลพิชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยมี

 ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงานฯ และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พลัง อว. กับการพัฒนาภาค พัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” โดย นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จัตตุฤทธิ์ ทองปรอน รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ผู้ทรงคุณวุฒิ วช. คณะนักวิจัย นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ให้การต้อนรับ

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. กล่าวว่า กระทรวง อว. โดย วช. ได้จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566” โดยนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ระดับพื้นที่ในวงกว้างและเป็นรูปธรรม สร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นให้กับบุคลากรจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชน ได้นำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปพัฒนาและสร้างสรรค์ พร้อมต่อยอด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ในภูมิภาค 

ในปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอันดับที่ 24 ของโลก นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่พร้อมจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี พ.ศ.2580 โดยประเทศไทยของเรามีงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้า โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรที่ช่วยลดการพึ่งพา

การนำเข้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากต่างประเทศ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งที่ วช. จัดงานนี้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาท้องถิ่น และเมื่อท้องถิ่นเข้มแข็งก็จะต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ในนามของจังหวัดลำปาง กระผมมีความรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จังหวัดลำปางได้มีโอกาสจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566” และขอต้อนรับทุกท่านที่เข้าร่วมงาน ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง แห่งนี้ด้วยความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยจังหวัดลำปางมีศักยภาพโดดเด่นในการจัดการศึกษาด้านงานวิจัยและนวัตกรรม อีกทั้งเป็นที่รู้จักและได้สร้างชื่อเสียงในระดับประเทศและนานาชาติ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมในด้านการขยายผลการนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมต่อยอด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค” ประจำปี 2566 ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 ภายใต้แนวคิดหลัก “การพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม ภูมิปัญญาล้านนาและโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ระหว่างวันที่ 6 - 8 มกราคม 2566 โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง และหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยภาคเหนือร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งพื้นที่จังหวัดลำปาง เป็นพื้นที่จัดการศึกษาที่มีความพร้อมด้านวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่น เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงในระดับชาติและระดับนานาชาติมากมาย รวมถึงมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ เข้าร่วมดำเนินการด้วย โดยการจัดงานมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาท้องถิ่นภาคเหนืออย่างยั่งยืน โดยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio Circular Green Economy) สู่การสร้างความเข้มแข็งและการสร้างรายได้ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จัตตุฤทธิ์ ทองปรอน รักษาราชการแทนอธิการบดี มทร.ล้านนา กล่าวว่า ในนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การจัดงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค โดย วช. ในครั้งนี้ ได้เลือกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นเจ้าภาพ โดยงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566” นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ผู้เข้าชมงานจะสามารถนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรมหรือนำไปต่อยอดในเชิงธุรกิจ 

ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของกระทรวง อว. ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้าสู่ภูมิภาค ด้วยการนำของ วช. ที่มองเห็นจังหวัดลำปาง เป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่นำงานวิจัยในส่วนภูมิภาคขยายผลไปสู่จังหวัดที่เหลือในภาคเหนือต่อไป
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นิทรรศการการวิจัยของหน่วยงาน นักวิจัยในพื้นที่ เครือข่ายการวิจัยในภูมิภาคนิทรรศการนำเสนอผลงานนานาชาติและประเทศเพื่อนบ้าน นิทรรศการอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคเหนือ จำนวน 56 นิทรรศการ กว่า 144 ผลงาน การจัดกิจกรรม Highlight Stage พื้นที่ให้คำปรึกษาความรู้จากงานวิจัย ตลาดนัดผลงานวิจัยที่ได้รับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา การประชุม เสวนา โดยมีหัวข้อเป็น Hot Issue Theme เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับภูมิภาค โดยมีหัวข้อการประชุม เสวนา ตลอดการจัดงาน ไม่น้อยกว่า 10 หัวข้อเรื่อง นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการ Highlight เพื่อแสดงให้เห็นแนวคิดของการจัดงาน “การพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม ภูมิปัญญาล้านนาและโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” อีกด้วย 
การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566 : Regional Research Expo 2023” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม ภูมิปัญญาล้านนาและโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ระหว่างวันที่ 6 - 8 มกราคม 2566 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง จังหวัดลำปาง ซึ่งจะเป็นการยกระดับศักยภาพผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของภาคเหนือไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่ในวงกว้าง และเป็นรูปธรรม รวมถึงการได้ถ่ายทอดและเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม ที่เกิดจากการวิจัยและประดิษฐ์คิดค้นสู่ผู้ใช้ประโยชน์ในภาคเหนือโดยตรง และบุคลากรจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้นำองค์ความรู้ไปผลิตผลงานวิจัย ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม เพื่อสร้างผลงานที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นไป ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและนิทรรศการ และลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://researchexpo.rmutl.ac.th

Wednesday, December 14, 2022

อว. ภาคภูมิใจมอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับนักประดิษฐ์และนักวิจัย ที่คว้ารางวัลเวทีนานาชาติ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย

 วันที่ 14 ธันวาคม 2565 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรแสดงความยินดี แก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่คว้ารางวัลจากเวทีนานาชาติ Internationally Outstanding Inventors Awards Ceremony ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ ชั้น 3 สโมสรทหารบก วิภาวดี ซึ่งภายในงานมีนิทรรศการผลงานของนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมจากเวทีนานาชาติ และมีการปาฐกถาพิเศษ “พัฒนากำลังคนของประเทศสู่เวทีระดับนานาชาติ” พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตรแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทย โดย ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประธานในพิธี 

โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงานผลสำเร็จการส่งเสริมและพัฒนานักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยในเวทีระดับนานาชาติ นับเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยได้สร้างชื่อเสียงนำนวัตกรรมของประเทศไทยสู่เวทีนานาชาติ

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล  ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า “คน” ถือเป็นอีกทรัพยากรและกลไกการขับเคลื่อนสำคัญที่ อว. ให้ความสำคัญ เพื่อ “เตรียมคนไทยแห่งศตวรรษที่ 21 พัฒนาเศรษฐกิจที่กระจายโอกาสอย่างทั่วถึง
 สังคมที่มั่นคง และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยสร้างความเข้มแข็งทางนวัตกรรมระดับแนวหน้าในสากล นำประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว” โดยเป้าประสงค์ของการพัฒนา นอกเหนือจากเรื่องกำลังคนแล้ว การวิจัยสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน กว่า 4 ปีของการจัดตั้งกระทรวง อว. กระทรวงแห่งปัญญา โอกาส และอนาคต เป้าหมายที่สำคัญคือการพัฒนาอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้มีเอกภาพและเป็นระบบ พัฒนาบุคลากรด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้มีความเข้มแข็ง สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถนำไปสู่

การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม อันจะเป็นประโยชน์
ต่อการพัฒนาประเทศ และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกได้ สู่การใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน PMU ที่เป็น Funding Agency ต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงฯ ส่วนการสนับสนุนทางอ้อม เช่น การสร้างแรงจูงใจ และการให้รางวัล ประกาศเกียรติคุณ หรือยกย่องบุคคลหรือ หน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ

 วช. ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เสนอชื่อและประสานงานหลักของประเทศไทยในการนำส่งผลงานของนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยเข้าร่วมประกวดและจัดแสดงในเวทีระดับนานาชาติในรูปแบบออนไซต์ จำนวน 4 เวที ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชีย โดยสนับสนุนนักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยในระดับสากล ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ จำนวน 149 ผลงาน และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานประดิษฐ์คิดค้นและนวัตกรรมที่ร่วมนำเสนอ

ในเวทีนานาชาติที่ได้รับรางวัลสูงสุดจากการประกวด (Grand Prize) จำนวน 4 ผลงาน และรางวัลระดับเหรียญทอง จำนวน 59 ผลงาน โดยในปีงบประมาณ 2566 วช. ในฐานะหน่วยงานคัดเลือกและนำส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติของประเทศไทยการประสานนำผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยเข้าร่วมประกวดและจัดแสดงในเวทีระดับนานาชาติ จำนวน 4 เวที ดังนี้
1) เวที “Taiwan Innotech Expo 2022” (TIE 2022) ณ เมืองไทเป ไต้หวัน โดยนักประดิษฐ์ไทย

สามารถคว้าเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เหรียญทองจำนวน 7 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 8 รางวัล 
เหรียญทองแดงจำนวน 5 รางวัล และรางวัลพิเศษจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 9 รางวัล
2) เวที “The International Trade Fair – Ideas, Inventions and New Products” (iENA 2022) ณ เมืองนูเรมเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล iENA Fair Management ซึ่งเป็นรางวัลสำคัญของงาน จำนวน 1 รางวัล และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เหรียญทองจำนวน 10 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 13 รางวัล เหรียญทองแดงจำนวน 6 รางวัล และรางวัลพิเศษจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 28 รางวัล

3) เวที “Seoul International Invention Fair 2022” (SIIF 2022) ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้ารางวัล Grand Prize ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของงาน จำนวน 2 รางวัล และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เหรียญทองจำนวน 27 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ เหรียญทองแดงจำนวน 25 เหรียญ และรางวัลพิเศษจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 30 รางวัล
4) เวที “2022 Kaohsiung International Invention & Design Expo” (KIDE 2022) ณ เมืองเกาสง ไต้หวัน โดยนักประดิษฐ์ไทยสามารถคว้า WIIPA Grand Prize – Commercial Potential Award ซึ่งเป็นรางวัลสำคัญที่มอบให้กับผลงานที่มีศักยภาพโดดเด่นในเชิงพาณิชย์ จำนวน 1 รางวัล และเหรียญรางวัลประเภทต่าง ๆ ดังนี้ รางวัลเหรียญทองจำนวน 15 รางวัล เหรียญเงินจำนวน 9 รางวัล เหรียญทองแดงจำนวน 5 รางวัล และรางวัลพิเศษจากประเทศต่าง ๆ จำนวน 15 รางวัล 
นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างจริงจังนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรมให้มีความเข้มแข็ง
สู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรมและร่วมกันพัฒนาประเทศของเราให้ยั่งยืนสืบไป 
          
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า หนึ่งในบทบาทและภารกิจที่สำคัญของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม คือการส่งเสริมและสนับสนุนการนำผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของนักประดิษฐ์และนักวิจัยไทย เข้าร่วมประกวดและจัดแสดงในเวทีสำคัญระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการยอมรับในมาตรฐานของผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของไทยในระดับสากล ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ วช. ได้ดำเนิน “โครงการส่งเสริมผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์สู่เวทีนานาชาติ” ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรต่างประเทศ
ด้านการส่งเสริมและประดิษฐ์คิดค้นและนวัตกรรมให้เป็นหน่วยงานของประเทศไทยที่ทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกและนำส่งผลงานประดิษฐ์กรรมและนวัตกรรมของนักประดิษฐ์ไทยเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติกว่า 300 ผลงานต่อปี โดย วช. มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและผลักดันให้ผลงานประดิษฐ์คิดค้นของนักประดิษฐ์ไทยได้ก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

Monday, December 5, 2022

ดนตรี อว.บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์พร้อมกันทั่วประเทศ

ช่วงค่ำวันนี้ (5 ธันวาคม 2565) เมื่อเวลา 18.00 น. ณ สวนหลวงพระราม 8  ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดงาน “อว.เทิดพระเกียรติ น้อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ร้อง บรรเลง เพลงของพ่อ”และมอบช่อดอกไม้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณให้กับวงดนตรี 

ซึ่งเป็นการแสดงของวง CU Band จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วงดนตรีไทย จากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และวง PGVIM Wind Camerata จากสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา โดยมี รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะผู้บริหาร อว. ให้การต้อนรับ
 
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “อว.เทิดพระเกียรติ น้อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ร้อง บรรเลง เพลงของพ่อ” พร้อมกัน 72 จังหวัดทั่วประเทศ 

โดยมีวงดนตรีมากกว่า 100 วงจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสังกัด อว. บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งในรูปแบบวงซิมโฟนี ออร์เคสตร้า วงดนตรีสากล วงดนตรีไทยและวงดนตรีพื้นบ้าน ฯลฯ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นอัครศิลปิน

 ทั้งนี้ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า การรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้สืบสานผลงานที่พระองค์ทรงได้สร้างไว้ อว. ทำหน้าที่สืบสานสืบทอดศิลปะ ตนสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังทันเห็นพระองค์มาทรงดนตรีและทรงขับร้องบทเพลง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมาก ทรงส่งเสริมทั้งดนตรีไทยและสากล และมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ศิลปินดนตรีอย่างถ้วนหน้า ด้วยทรงเข้าพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ในศาสตร์แห่งศิลปะการดนตรี และนี่คือซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศไทยที่อวดสายตาชาวโลกได้

ทางด้านสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับชมการแสดงดนตรีและมอบช่อดอกไม้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณให้กับวงดนตรี โดยในวันนี้เป็นการแสดงของวงดนตรีร่วมสมัย วงถั่วงอกสีทอง จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวงดุริยางค์เครื่องลมแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร จากคณะดุริยางคศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมรับชมการแสดงครั้งนี้ด้วย

ขณะที่สวนเบญจกิติ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ร่วมรับชมการแสดงดนตรีและมอบช่อดอกไม้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณให้กับวง KBU BAND จากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และวง RMUTR BAND จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ โดย ดร.ชนินทร วรรณวิจิตร รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และนายธีรวัฒน์ บุญสม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม วช. รับชมการแสดงครั้งนี้ด้วย

โดยทั้ง 3 สวนในค่ำคืนนี้ มีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมรับฟังบทเพลงบรรเลงเพลงอันไพเราะเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบาย  ไม่ว่าจะเป็นเพลง แสงเดือน รัก ยามเย็น ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด แสงเทียน แผ่นดินของเรา ฯลฯ

สำหรับงานดนตรี อว. เทิดพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2565 “ดนตรีในสวน : H.M.Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ” จัดขึ้นเนื่องในวันชาติ วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพด้านการดนตรี ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ท่านดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า จะเป็นแจ๊สหรือไม่ใช่แจ๊ส ก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้า ดนตรีคือสิ่งประณีตงดงามและทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาสและอารมณ์ที่ต่างกันออกไป” เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร