Showing posts with label #63ปีวช#วช#อูบุนนาค. Show all posts
Showing posts with label #63ปีวช#วช#อูบุนนาค. Show all posts

Friday, October 28, 2022

วช. - ส.กีฬาเครื่องบินจำลองฯ บินโดรนโชว์รูปหัวใจ พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้อบรม ในงานคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีปิดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม “การอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดรนแปรอักษรเพื่อประยุกต์สู่การใช้งาน” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 

ได้มอบหมายให้ นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายธีรวัฒน์ บุญสม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีปิดพร้อมมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม ในวันที่ 26 ตุลาคม 2565 และวันที่ 28 ตุลาคม 2565 โดยมีนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ เข้าร่วมในพิธีปิด ด้วย

การจัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม “การอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดรนแปรอักษรเพื่อประยุกต์สู่การใช้งาน” 

ได้จัดขึ้นโดย วช. ร่วมกับ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ จำนวน 2 รุ่น ในงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 25 – 28 ตุลาคม 2565 

โดยในพิธีปิดฯ ได้มีการบินโดรนแปรอักษรเป็นรูปหัวใจส่งท้ายในพิธีปิดฯ ณ โรงยิมจิตต์มิตรภาพ อาคาร วช. 9 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 

NRCT Talk คึกคักส่งท้าย วันคล้ายวันสถาปนา 63 ปี วช.

วันที่ 28 ตุลาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดเวทีเสวนา NRCT Talk เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี เพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นมาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทย
 โดยมี นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการเสวนาฯ ณ ศูนย์จัดการความรู้การวิจัย ชั้น 1 อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร 

โดยในวันนี้มีผลงานที่ร่วมเสวนาบนเวที NRCT Talk เป็นผลงานที่ วช. ให้การสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม จำนวน 4 ผลงาน ได้แก่ 

ผลงานที่ 1 : การพัฒนาตำรับอาหารโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพ ยกระดับในการให้บริการให้ปลอดภัย และการพัฒนารูปแบบการจัดการแบบเดลิเวอรี่ โดย ดร.จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนา และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยคณะนักวิจัยได้พัฒนาสำรับอาหารโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพ ซึ่งได้คัดเลือกรายการอาหารจำนวน 17 รายการ ปรับตำรับเพื่อให้เป็นรายการอาหารโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพ 
จัดทำสำรับอาหารโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพจำนวน 8 สำรับ โดยมีคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสม ยกระดับในการให้บริการให้ปลอดภัย รวมทั้งพัฒนารูปแบบการจัดการอาหารโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพแบบเดลิเวอรี่ โดยใช้บรรจุภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ และสร้างต้นแบบการบริหารจัดการธุรกิจโต๊ะจีนเพื่อสุขภาพแบบเดลิเวอรี่อย่างมีผลิตภาพสูง 

ผลงานที่ 2 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพแนวใหม่จากสาหร่ายอาร์โรรสไปร่า พลาเท็นซิส โดย ดร.สราวุธ สัตยากวี แห่งคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยผลงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการต่อยอดมาจากผลงานวิจัยที่มีอยู่เดิมซึ่งได้ทดสอบว่าโปรตีนไฮโดรไลเสท จากไฟโคไซยานินของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อจาก


ความเครียดออกซิเดชันในระดับเซลล์จึงมีแนวคิดที่จะนำโปรตีนไฮโดรไลเสทที่พัฒนาขึ้นมาผลิตเป็นเครื่องดื่มฟื้นฟูร่างกายที่ทดสอบในระดับสัตว์ทดลองถึงการลดการสลายของกล้ามเนื้อ โดยการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ เป็นปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว การเหนื่อยล้า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและภูมิคุ้มกันลดลง ทั้งนี้ อัตราการสลายของกล้ามเนื้อขึ้นอยู่กับอายุ การออกกำลัง การเคลื่อนไหวในแต่ละวัน

ผลงานที่ 3 : ผลิตภัณฑ์สิ่งทอแปรรูปจากผ้าพื้นเมืองด้วยเทคนิคการม้วนเส้นยืนและการย้อมสีจากธรรมชาติ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ อริยะเครือ และคณะ แห่งคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยเครื่องม้วนเส้นด้ายยืนที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่นี้ สามารถช่วยลดปัญหาการใช้พื้นที่ในการม้วนเส้นด้ายยืน ซึ่งการม้วนแบบเดิม จะต้องใช้พื้นที่เท่ากับความยาวของเส้นยืน ซึ่งความยาวของเส้นด้ายยืนโดยเฉลี่ยจะยาว 15 - 25 เมตร ในขณะที่ใช้อุปกรณ์วนเส้นด้ายยืนที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ จะใช้พื้นที่ 4 - 5 เมตร การใช้เวลาในการม้วนลดจากเดิมถึง 2 เท่า ลดการใช้แรงงานจากเดิม 5 - 7 คน เมื่อเปรียบเทียบกับการม้วนเส้นไหมด้วยเครื่องที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ จะใช้แรงงานเพียง 2 คนเท่านั้น

ผลงานที่ 4 : นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดย นายแพทย์ณัฐกร  จำปาทอง และคณะ แห่งกรมสุขภาพจิต เป็นการดำเนินการในรูปแบบความร่วมมือขององค์กรเครือข่ายทุกภาคส่วน มีรูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตายสำหรับกลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย มีการเสริมสร้างวัคซีนใจในชุมชนเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับคัดกรองและประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย รวมถึงผลการประเมินโครงการการฆ่าตัวตายระดับชาติ

สำหรับเวทีเสวนา NRCT Talk ที่จัดขึ้นในงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี ภายใต้แนวคิด “63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพจากฝีมือนักวิจัยไทย โดยผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่นำมาร่วมเสวนาในเวทีนี้ได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ชิม ช็อป เพลิน เดินตลาดงานวิจัย ซึ่งมีผลงานวิจัยพร้อมใช้ประโยชน์มาจัดแสดงมากมาย ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารงานวิจัยและนวัตกรรมได้ที่ Website : www.nrct.go.th และ Facebook Fanpage : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

หน่วยงาน เครือข่าย และผู้เข้าร่วมจัดงาน ปลื้ม รับประกาศนียบัตร การจัดงานคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม

วันที่ 28 ตุลาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีปิดงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี และพิธีมอบประกาศนียบัตรขอบคุณหน่วยงานและนักวิจัยที่เข้าร่วมงานฯ โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 

ได้มอบหมายให้ นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวปิดงานและขอบคุณผู้มีส่วนร่วม พร้อมมอบประกาศนียบัตรขอบคุณหน่วยงานและนักวิจัยที่ร่วมงานฯ ในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชั้น 2 อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า งานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ รวมเป็นระยะเวลา 4 วัน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทุกภาคส่วน ในการร่วมมือกันทั้งในการพัฒนา และสร้างสรรค์ผลงานวิจัย 

ตลอดจนการเผยแพร่ถ่ายทอดองค์ความรู้ ที่ได้จากการวิจัยต่าง ๆ โดยภายในงานประกอบไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ และที่สำคัญคือ วช. ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง

 “ชีวิตคือโอกาส” ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการบรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง “วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม : อดีต ปัจจุบัน อนาคต” และวิทยากรหลายท่าน ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ 
นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของภาคกิจกรรม ภาคนิทรรศการต่าง ๆ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. รวมทั้งเครือข่ายพันธมิตรของ วช. ได้นำผลิตภัณฑ์และผลผลิตจากการวิจัยมาจัดแสดงและจำหน่ายภายในงานอีกด้วย

ด้าน นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร คณะผู้ทรงคุณวุฒิ คณะผู้วิจัย สื่อมวลชน ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนที่มาร่วมงานทุกท่าน ที่ได้ให้ความสนใจ

และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้ผลงานวิจัยได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงวิชาการ และเชิงพานิชย์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลังจากความร่วมมือกันในครั้งนี้ และโอกาสต่อ ๆ ไปในอนาคตจะสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม 
สำหรับงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม” โดยจัดให้มีภาคการประชุมในประเด็นสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศด้วยวิจัยและนวัตกรรม

 การถ่ายทอดความรู้พื้นที่ปลูกพืชในเมืองและนิทรรศการโรงกลั่นแอลกอฮอล์ นิทรรศการ “ชิม ช็อป เพลิน เดินตลาดงานวิจัย” การฝึกอบรมให้ความรู้ทักษะอาชีพ และการอบรมเชิงปฏิบัติการการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดรนแปรอักษรเพื่อประยุกต์สู่การใช้งาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตรที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. 


Thursday, October 27, 2022

วช. จัดพิธีทำบุญ เนื่องในวาระครบรอบ 63 ปี คล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 28 ตุลาคม 2565

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์

พร้อมถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุสงฆ์ 10 รูป และพิธีสักการะศาลพระพรหมและศาลพระภูมิ เพื่อความเป็นสิริมงคล 

เนื่องในวาระวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบ 63 ปี โดยมี 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี

 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและบุคลากร วช. เข้าร่วมพิธีฯ จำนวนมาก


63 ปี วช.จัดเวทีเสวนา ถอดบทเรียน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ นักวิจัยสู่การพัฒนาพรรณไม้ดอกไม้ประดับไทย ผงาดในเวทีโลก


สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดเวทีเสวนา อัศจรรย์นานาพรรณไม้ดอกไม้ประดับ เนื่องในวันคล้ายสถาปนา วช.ครบรอบ 63 ปี เป็นวันที่สอง เมื่อ 26 ตุลาคม 2565 ภายใต้แนวคิด “ 63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญาพัฒนาไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม “ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง ในการผลักดันอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากงานวิจัย
โดยดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มอบหมายให้ นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม1 เป็นประธานเปิดเสวนา
นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวเปิดงานว่า ในโอกาสที่วช.ครบรอบ63ปี เวทีเสวนาครั้งนี้ ถือเป็นอีกกิจกรรมที่สำคัญต่อกลุ่มงานด้านการเกษตร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ค้นพบพืชพันธุ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า เหลืองปิยะรัตน์ เป็นพืชกลุ่มกระดังงา บ่งบอกให้เห็นว่าประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งการมีพืชพันธุ์ใหม่ๆ จะเป็นการสร้างรายได้ฐานรากทางเศรษฐกิจ กลุ่มไม้ดอกไม้ประดับให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธุ์ การพัฒนาการเกษตร การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก วช.ในการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน
 
รศ.ดร.พีรนุช จอมพุก หัวหน้าศูนย์วิจัยนิวเคลียร์เทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อการพัฒนาพันธุ์พืชมานานแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการฉายรังสีแกมม่า เพื่อให้เกิดการกลายพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์ เช่น การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนี่ยว กข.6 โดยการฉายรังสี  นอกจากนี้ยังมีไม้ผล เช่น ส้มไร้เมล็ด และไม้ดอกไม้ประดับอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตลาดไม้ดอกไม้ประดับมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความชอบของผู้บริโภค  เทคโนโลยีนิวเคลียร์จะเข้ามาตอบโจทย์ให้กับสายพันธุ์ที่ดีอยู่แล้วแต่เราอยากได้พันธุ์ที่แปลกไปจากเดิม เช่น เปลี่ยนสีดอก หรือ เปลี่ยนฟอร์มดอก หรือ ถ้าเป็นไม้ใบก็เปลี่ยนสีใบให้เป็นไม้ด่าง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเป็นเทรนด์ที่มีคนสนใจกันมาก ในช่วงโควิด-19 คนหันมาปลูกต้นไม้ และเป็นเทรนด์ว่าอะไรที่ด่างจะมีราคา จนต้องยอมรับว่าศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีผู้มาขอใช้บริการเป็นจำนวนมากในเรื่องนี้ โดยศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ฯ มีความร่วมมือกับ วช. ในการให้องค์ความรู้และมีการฝึกปฏิบัติในการนำพืชมาฉายรังสี เพื่อจะให้ได้พันธุ์ใหม่ๆ เกิดในตลาดต่อไป โดยขณะนี้ค่าบริการยังเป็นราคาเดิมซึ่งไม่มากมาย และพืชที่ผ่านการฉายรังสีมีความปลอดภัย เพราะปริมาณรังสีน้อยมาก
ดร.นุชรัฐ บาลลา อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เข้าไปพัฒนาพันธุ์ไม้ดอก เบญจมาศและลีเซียนทัส โดยลีเซียนทัสเป็นไม้ดอกที่ประเทศไทยไม่มีการปลูก แต่ถูกนำมาใช้ในงานอีเว้นท์เป็นจำนวนมาก ขณะนี้เราสามารถพัฒนาจนสามารถนำพืชทั้ง 2 ชนิดไปปลูกในภาคเหนือและในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะที่เบตง จ.ยะลา อุณหภูมิเหมาะสม ไม่ต้องทำนอกฤดูกาล คาดหมายว่าเดือนมกราคม 2566 จะได้เห็นดอกไม้สายพันธุ์นี้ที่เบตง เป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้  ส่วนที่จังหวัดเลย เกษตรกรผู้ปลูกไม้ดอกภูเรือต้องการขายไม้ดอกได้ราคาดีกว่าที่ผ่านมา จึงได้แนะนำลีเซียนทัสไปทดลองปลูกเป็นไม้กระถางและไม้ตัดดอก เกษตรกรสามารถขายได้กระถางละ 100-150 บาท สร้างรายได้ในปีที่ผ่านมาถึง 60,000 บาทจากต้นทุน 20,000 บาท โดยลูกค้าจะนำไม้กระถางไปตกแต่งสวน ลักษณะฟอร์มดอก และสีสันแปลกตา คนไม่ค่อยรู้จัก ทำให้ขายได้ราคาดี จนปีนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มจาก 3 รายเป็น 20 ราย

ด้านผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเสวนาต่างมีมุมมองที่ต่างออกไปอย่างน่าสนใจ โดย นายภูเบศร์  เจษฎ์เมธี รองประธานสภาดอกไม้โลก ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ผู้ประกอบการอยากจะเห็นนักวิจัยสนองความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์จากดอกไม้ ไม่ใช่ปรับปรุงพันธุ์แต่เพียงอย่างเดียว ให้คิดถึงผู้ใช้งาน สายพันธุ์อาจไม่ต้องดีเลิศ ต้นน้ำ กลางน้ำ ควรจะช่วยเติมเต็ม ปลายน้ำ ให้แก่ผู้ประกอบการจะดีกว่า

“เราอยากได้ดอกกล้วยไม้ หรือ ดาวเรืองที่มีก้านตรง หรือ ถ้าผลิตดาวเรืองที่มีก้านแข็งแรงไม่ต้องเสียบไม้จิ้มฟัน เราก็ยินดีจ่าย แต่นักวิจัยไม่เคยมาถาม เราไม่เคยพบกัน เหมือนในต่างประเทศที่จะพบกันตามงาน Flower Show แต่ของเรายังไม่เคยมีงานใหญ่ขนาดนั้น ทั้งที่ กทม. เคยคิดจะจัดงานไม้ดอกไม้ประดับ การเจอกันอย่างงานที่ วช. ทำนับเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่ทำให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้พบกัน และมีปฏิสัมพันธ์กันต่อไป และอยากให้นักวิจัยเปิดใจ ทำงานให้เร็วฉับไว ส่วนเรื่องการตลาด ไม่ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของกลไกตลาด เกษตรกรควรจะเป็นคนคิดเองได้ว่าจะขายอะไรดี อย่างที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จะใช้หลัก สร้าง Original คือ ความเป็นของแท้ดังเดิม สร้างความแตกต่าง จะขายของเดิมไม่ได้ต้องหาความแปลกใหม่ สร้างความยั่งยืน Sustainable ไม่ใช่แค่ปลูกได้ขายได้ แต่ต้องทำให้กลับมาซื้อซ้ำ ความยั่งยืนที่แท้จริงของเราที่ทุกประเทศยอมรับคือ ดอกไม้ไหว้พระ มาลัยดอกไม้ซึ่งขายได้ตลอดกาล และสุดท้าย คือตอบโจทย์ Customer Oriental ตลาดเป็นของผู้ใช้ ” และงานวิจัยต้องตอบโจทย์ รวดเร็ว อย่านาน 3-6 เดือนต้องเสร็จ ไม่ใช่ 3-5 ปี ต้องให้ทันเทรนด์ ทันความต้องการของตลาด
ขณะที่นายวิสาร์ มูลทา เจ้าของ Love Flower Farm จ. เชียงใหม่ ให้ทัศนะว่า จากงานวิจัย 3 ปี ได้เริ่มผลิตดอกไม้มากขึ้นโดยเลือก มาร์กาเร็ต และคัตเตอร์ ซึ่งเป็นไม้ดอกมหัศจรรย์ที่นำไปใช้ในงานแต่งงานในปริมาณมาก และเป็นการใช้ครั้งเดียวทิ้ง เราสามารถหาช่องทางจากดอกไม้ทั้ง 2 ชนิดได้มากมาย จนปัจจุบันผลิตดอกไม้ใน 5 อำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ครึ่งหนึ่งเป็นคลัสเตอร์ แต่ปริมาณยังไม่เพียงพอกับความต้อง การซึ่งก่อนโควิด-19 มีความต้องการมากถึง 800,000 กิโลกรัมต่อปี ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย ความต้องการของตลาดน่าจะสูงขึ้นกว่านี้มาก นอกจากนี้ ยังเปิดการท่องเที่ยวเป็นท่องเที่ยวชุมชน ที่ Love Flower Farm จ. เชียงใหม่ โดยฤดูท่องเที่ยวจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ มีคนขอเข้าเยี่ยมชมถึง วันละ 5,000 คน แต่รองรับได้แค่ 400 คน ต้องจำกัดคนเข้าชม
“สิ่งที่อยากจะฝากก็คือ การแบ่งปัน และการนำศิลปะเข้ามาสู่ชุมชน เราพัฒนาทั้งเรื่องกลิ่นดอกไม้ เป็นกลิ่น I Love Flower Farm และยังมีเพลง ของที่ระลึก ขนมที่มาแล้วจะไม่ซ้ำกัน ดอกไม้จึงเป็นความภาคภูมิใจของเรา “
ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ จันจุฬา กล่าวว่า การเสวนาในวันนี้ ทำให้นักวิจัยและผู้ประกอบการซึ่งไม่ค่อยได้เจอกัน จึงเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับนักวิจัย ผู้ประกอบการและผู้ใช้ประโยชน์จากดอกไม้ได้มาเจอกันในงาน ซึ่งโดยปกติแล้ว งานวิจัยทำแล้วจะขึ้นหิ้งแต่การตลาดจะไปไม่ได้ เราไม่สามารถออกสู่ชุมชนผู้ใช้หรือท้องถิ่นได้โดยตรง การพบกันแบบนี้ก็จะทำให้เรารู้ว่า เทรนด์ดอกไม้จะเป็นแบบไหน การใช้งานในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพื่อเป็นโจทย์มารองรับงานวิจัยที่จะเกิดมา เพราะไม้ดอกเป็นสินค้าแฟชั่น เปลี่ยนแปลงได้ทุกฤดูกาล และตลอดเวลา ทั้งการทำไม้กระถางและการท่องเที่ยว ดังนั้นการมาพบกันครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเชื่อมโยงกัน ระหว่างนักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักการตลาด ความสวยของดอกไม้นักวิจัยอาจมองว่าสวยแต่การตลาดไปไม่ได้ ดังนั้นเวทีนี้จึงมีความสำคัญอีกเวทีที่จะตอบโจทย์งานวิจัยได้เป็นอย่างดี

63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา ในเวที NRCT Talk เวทีแห่งคนช่างคิด


วันที่ 27 ตุลาคม 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดเวทีเสวนา NRCT Talk เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี ภายใต้แนวคิด “63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม” เพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นมาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของฝีมือนักวิจัยไทย โดยมี นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการเสวนา ณ ศูนย์จัดการความรู้การวิจัย ชั้น 1 อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร

นายเอนก บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า กิจกรรมบนเวที “NRCT Talk” ที่จัดขึ้น วช. ให้การสนับสนุนและผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมโดยมุ่งเน้นการนำความรู้จากผลงานวิจัย
ไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนประเด็นท้าทายของสังคม ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร ด้านการวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม และส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ประชาชนทั่วไปรวมไปถึงการประชาสัมพันธ์และจัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นของ วช. 

เพื่อสร้างความตระหนัก และการรับรู้ต่อภาครัฐและเอกชนในบทบาทที่ วช. เป็นผู้สนับสนุนและผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ต่อสังคมเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

ซึ่งผลงานที่ร่วมเสวนาบนเวที NRCT Talk เป็นผลงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมจาก วช. จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ 1) Beeplus-อาหารเสริมทดแทนเกสรดอกไม้สำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ BIO-FERA-จุลินทรีย์ผสมเอนไซม์ชีวภาพ 2) เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนและผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดอบแห้ง และ 3) ตุ๊กตายาดมไทยทรงดำบ้านดอน

ผลงานจากโครงการวิจัยชิ้นที่ 1 : เรื่อง “Beeplus-อาหารเสริมทดแทนเกสรดอกไม้สำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ BIO-FERA-จุลินทรีย์ผสมเอนไซม์ชีวภาพ” โดย ดร.บาจรีย์ ฉัตรทอง และคณะ แห่ง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  
ความโดดเด่นของงานวิจัย คือ ผลิตภัณฑ์ Beeplus-อาหารเสริมทดแทนเกสรดอกไม้สำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ BIO-FERA-จุลินทรีย์ผสมเอนไซม์ชีวภาพนั้น มีโภชนาการที่สำคัญ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แร่ธาตุ และ วิตามินดี รวมไปถึง กรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน ที่จำเป็นต่อผึ้งในการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต ผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ง่ายและลดความยุ่งยากต่อการใช้งาน ที่เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีราคาสูง

ผลงานจากโครงการวิจัยชิ้นที่ 2 : เรื่อง “เครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อนและผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดอบแห้ง” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์นนทนันท์ พลพันธ์ และคณะ แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ความโดดเด่นของงานวิจัย คือ จากปัญหาการเก็บรักษาจิ้งหรีดใช้วิธีการแช่แข็งเป็นหลักทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งจิ้งหรีดแช่แข็งมีน้ำหนักมากทำให้ค่าขนส่งแพง

 คณะผู้วิจัยจึงเลือกวิธีการอบแห้งจิ้งหรีดด้วยเครื่องอบแห้งระบบปั๊มความร้อน โดยลดความชื้นจิ้งหรีดปริมาณน้ำอิสระน้อยกว่า 0.6 ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยจากจุลินทรีย์ก่อโรค และยับยั้งการสร้างสารพิษของเชื้อรา การอบแห้งด้วยเทคนิคนี้ใช้อุณหภูมิในการอบแห้งที่ต่ำ

 ผลิตภัณฑ์ที่ได้หลังการอบแห้งจึงมีคุณภาพที่ดี และได้ทำการศึกษารูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมในการเก็บรักษาเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดอบแห้ง นับเป็นนวัตกรรมเกษตรเชิงสร้างสรรค์ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
ผลงานจากโครงการวิจัยชิ้นที่ 3 : เรื่อง “ตุ๊กตาไทยทรงดำบ้านดอน” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รุจิราภา งามสระคู และคณะ แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ความโดดเด่นของงานวิจัย คือ การนำวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยทรงดำที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ของชุมชนไทยทรงดำ ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มาผสมผสานในเชิงมิติทางวัฒนธรรมสู่การต่อยอดเพิ่มมูลค่า นับเป็นผลิตภัณฑ์สินค้า 
ตุ๊กตาดินประดิษฐ์ สำหรับบรรจุยาดมและยาหม่อง โดยออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าที่แสดงเอกลักษณ์ภูมิปัญญา การแต่งกายของ ชาย หญิง ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำที่โดดเด่น ผลิตภัณฑ์ยาดมที่มีส่วนผสมของ มะแข่น 
เป็นเครื่องเทศที่ชาวไทยทรงดำ นำมาประกอบอาหาร และการนำแป้งข้าวโพดมาใช้ในการปั้นตุ๊กตาดินประดิษฐ์ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ สมุนไพรที่ไม่ได้มีแค่ไว้ดมแก้วิงเวียนศีรษะเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้
ให้กับชุมชนในพื้นที่ และกลุ่มอาชีพตุ๊กตาไทยทรงดำบ้านดอนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

สำหรับเวทีเสวนา NRCT Talk จัดขึ้นในงานวันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพจากฝีมือนักวิจัยไทย โดยผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่นำมาร่วมเสวนาในเวทีนี้จะร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ชิม ช็อป เพลิน เดินตลาดงานวิจัย ซึ่งมีผลงานวิจัยพร้อมใช้ประโยชน์มาจัดแสดงอีกมากมาย โดยจะจัดไปถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://63years.nrct.go.th